วันศุกร์ที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

Learning log 3 สิ่งที่ได้เรียนรู้ในห้องเรียน


สิ่งที่ได้เรียนรู้ในห้องเรียน

          การเรียนภาษาอังกฤษในยุคปัจจุบันจำเป็นต้องอาศัยหลักการที่ว่า Teach less Learn more ซึ่งหมายความว่า สอนให้น้อย และเรียนรู้ให้มาก ซึ่งในทางตรงกันข้ามกันนั้น ประเทศไทยจะเน้นไปยังการสอนที่มาก และเรียนรู้น้อยซึ่งแตกต่างกับประเทศสิงคโปร์ นี่อาจจะเป็นประเด็นหนึ่งก็เป็นไปได้ที่ทำให้การศึกษาทางด้านภาษาอังกฤษของเด็กไทยมีการพัฒนาที่น้อยกว่าประเทศอื่นๆในแถบเอเชีย ดังนั้นการจะเรียนภาษาอังกฤษให้ได้ดีนั้นจะต้องมีการเรียนรู้ สามด้านทางภาษาอังกฤษ คือ  ด้านที่หนึ่งคือ Syntax การแต่งประโยค ด้านที่สองคือ Phonology  จะว่าด้วยการออกเสียงให้ถูกต้อง ส่วน Semantic จะว่าด้วยการแปลความหมาย ซึ่งการเรียนรู้ที่สำคัญต่อวิชาการแปลนั่นคือ คือ  Syntax คือ การแต่งประโยค และ Semantic จะว่าด้วยการแปลความหมาย ซึ่งการแต่งประโยคและการแปลความหมายนั้นให้ถูกต้องนั้นต้องอาศัยหลักความรู้ในเรื่องของไวยากรณ์เป็นหลักสำคัญ ดังนั้นพื้นฐานด้านไวยากรณ์ที่จำเป็นอย่างมากในการเรียนการแปลให้ดีและถูกต้องนั้นคือ Tenses ซึ่งจะเป็นตัวบ่งบอกว่ากระทำอะไรและเวลาใดเพื่อให้ได้การแปลที่ถูกต้องและมีภาษาที่ชัดเจนเข้าใจความหมายได้ง่าย


                พื้นฐานด้านไวยากรณ์ที่จำเป็นอย่างมากในการเรียนการแปลให้ดีและถูกต้องนั้นคือ Tenses ซึ่ง  Tenses ในภาษาอังกฤษมีมากถึง 12 Tenses การให้ความหมายในแต่ละ Tenses นั้นจะมีความหมายที่แตกต่างกันไปตามเวลา อดีต ปัจจุบัน และ อนาคต โดยใช้ Verb Tenses จะแบ่ง Tenses ได้ตามช่วงของเวลาของเหตุการณ์ คือ อดีต( past ) จะบอกความหมายถึงการทำในอดีต  ปัจจุบัน ( present ) จะบอกความหมายของการทำในปัจจุบัน อนาคต  ( Future ) จะบอกความหมายของกการกระทำในอนาคต ซึ่งในแต่ละช่วงเวลานั้นก็จะมีเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแทรกเข้าไปอีก เพื่อให้ได้ทราบถึงเวลาของเหตุการณ์นั้นจริงๆว่า เหตุการณ์ใดมาก่อนและเหตุการณ์ใดมาหลังในช่วงของเวลาที่เกิดขึ้นเพื่อที่จะได้ให้ความหมายและความเข้าใจที่แม่นยำในช่วงเวลาที่ชัดเจน จึงทำให้เราต้องเข้าใจ Tenses ทั้ง 12 Tenses พร้อมทั้ง Summary chart of  verb tenses   ได้สรุปความทั้ง 12 tenses ที่จะบ่งบอกถึงความแตกต่างกันในเรื่องของช่วงเวลาให้ชัดเจนเพื่อการแปลที่ถูกต้องและมีความหมายที่ชัดเจนไม่คลุมเครือในเรื่องของช่วงเวลาที่เกิดเหตุการณ์นั้น
               



Summary chart of  verb tenses
Tenses
Present tenses
Past tenses
future tenses
Simple
S+ v1
S+ ved

Continuous



Perfect



Perfect Continuous





                Present tenses ได้สรุปความทั้ง 4 tenses ได้ว่า  Present Simple  tenses จะใช้ verb1 มักจะมีการใช้ในชีวิตประจำวัน ถึง 80 % จะกล่าวถึงการทำกิจวัตรประจำวันที่เป็นปกติ ยกตัวอย่างเช่น the world is round ซึ่งโลกหมุนรอบตัวเองนั้นคือความจริงที่เป็นปกติ Present Continuous tenses จะใช้  is / am / are
+ V. ing ซึ่งจะให้ความหมายว่า การกระทำเกิดในอดีตและทำอยู่ในปัจจุบัน Present Perfect tenses จะใช้ have +  ซึ่งจะให้ความหมายว่า ผลของการกระทำเสร็จสมบูรณ์เรียบร้อยแล้ว Present Perfect Continuous tenses  จะใช้ Have been V.ing ซึ่งจะให้ความหมายว่า การกระทำที่ต่อเนื่องมานานแล้ว   

1 ความคิดเห็น: