Learning Log 15
( 30 / 10 / 58 เวลา 09.00 – 12.00 )
สำหรับศตวรรษที่ 21 นั้นมีการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีที่มีความก้าวหน้าไปหลายด้าน เช่น
ด้านการศึกษา ด้านการสื่อสาร ด้านการแพทย์
ด้านวิทยาศาสตร์ และด้านอื่นๆ อีกมากมาย ซึ่งด้านที่มีความจำเป็นต่อครูนั่นคือด้านการศึกษา ซึ่งจะมุ่งประเด็นสำคัญไปที่วิธีการสอนภาษาอังกฤษในศตวรรษที่ 21
ซึ่งเป็นศตวรรษที่มีความเจริญก้าวหน้าทุกๆด้าน
ซึ่งจะให้ความรู้โดย ผศ. ศิตา เยี่ยมขันติถาวร ในหัวข้อวิธีการสอนภาษาอังกฤษในศตวรรษที่ 21 โดยในหัวข้อจะมีประเด็นที่จะกล่าวถึงดังต่อไปนี้ การเรียนการสอนภาษาอังกฤษตั้งแต่อดีต การเรียนการสอนในศตวรรษที่ 21
กลวิธีการเรียนการสอนภาษาในปัจจุบัน
ซึ่งแนวการสอนจะแบ่งได้ 4 ขั้นตอนดังนี้
คือ แนวการสอนภาษาอังกฤษที่เน้นกฎเกณฑ์ของภาษา แนวการสอนภาษาอังกฤษที่เน้นการปฏิสัมพันธ์
แนวการสอนภาษาอังกฤษที่เน้นความเหมาะสมในการใช้ภาษา
แนวการสอนภาษาอังกฤษที่แบบบรูณาการเนื้อหาและภาษา
วิธีการสอนภาษาอังกฤษในศตวรรษที่ 21
จะมีแนวการสอนซึ่งสามารถแยกประเภทได้และสามารถแยกประเภทรูปแบบได้ดังนี้ ซึ่งประเภทแรกคือแนวทานการสอน ซึ่งสามารถแบ่งย่อยได้ 3
ประเภท คือ วิธีสอนแบบไวยกรณ์และแปล วิธีการสอนแบบตรง วิธีการสอนแบบฟัง-พูด ประเภทที่
2 คือ
แนวการสอนภาษาอังกฤษที่เน้นการปฏิสัมพันธ์ ซึ่งสามารถแบ่งย่อยได้ 7 ประเภทคือ
วิธีการสอนแบบเงียบ
วิธีการสอนแบบธรรมชาติ วิธีการสอนแบบชักชวน วิธีการสอนแบบตอบสนองด้วยท่าทาง การเรียนรู้แบบร่วมมือ การเรียนรู้แบบภาระงาน การเรียนรู้จากโครงงาน ประเภทที่
3 คือ
แนวการสอนภาษาอังกฤษที่เน้นความเหมาะสมในการใช้ภาษา สามารถแบ่งย่อยได้ 2 ประเภท
คือ แนวการสอนเพื่อการสื่อสาร แนวการสอนภาษาแบบกำหนดสถานการณ์ ประเภทที่
4 คือ
แนวการสอนภาษาอังกฤษที่แบบบรูณาการเนื้อหาและภาษา ซึ่งสามารถแบ่งย่อยได้ 2
ประเภท
การสอนที่เน้นสาระการเรียนรู้
การจัดการเรียนรู้แบบบูรณาการ
วิธีการสอนแบบไวยกรณ์และแปล ( The
Grammar – Translation Method ) จะเป็นการไม่เน้นการฟังและการพูด
แต่เน้นการเรียนไวยกรณ์และการแปลเพื่อให้ผ็เรียนสามารถอ่านตำราและวรรณคดีภาษากรีกและภาษาละตินได้
และมีวิธีการสอนแบบนี้ในการสอภาษาอังกฤษเป็นภาษาต่างประเทศโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ผู้เรียนสามารถอ่านได้เข้าใจและเห็นคุณค่าของคำประพันธ์ภาษาต่างปะเทศ เน้นการท่องจำ
และความถูกต้องในการใช้ภาษา
วิธีการสอนแบบตรง ( The
direct method ) วิธีสอนแบบตรงมีแนวคิดทางภาษา คือ
ภาษาพูด ซึ่งการเรียนภาษา
ซึ่งการให้ผู้เรียนได้สื่อสารด้วยภาษาที่เรียนนั้น เพื่อให้ประสบผลสำเร็จยิ่งขึ้น ควรให้ผู้เรียนได้เรียนรู้วิธีการที่จะคิดเป็นภาษาที่เรียนด้วย
ดังนั้นการเรียนการสอนภาษาจึงควรใช้ภาษาต่างประเทศที่เรียนนั้นตลอดเวลา และสื่อสารราวกับอยู่ในสถานการณ์จริง
มีจุดประสงค์เพื่อให้ผู้เรียนใช้ภาษาเพื่อการสื่อสารได้ เริ่มการสอนแบบระบบเสียงให้ผู้เรียนฝึกเลียนแบบเสียงและแยกเสียงให้ถูกต้อง แล้วจึงให้ผู้เรียนฝึกฟังความหมายในประโยค เช่น
ประโยคคำถาม – คำตอบบทสนทนาสั้นๆ
วิธีการสอนแบบฟัง
– พูด ( The audio - lingual method ) เริ่มจาการฟัง-พูด ซึ่งเป็นพื้นฐานไปสู่การเรียนและการเขียน ดังนั้นภาษาที่นำมาให้ผู้เรียนเรียน
ควรเป็นภาษาที่เจ้าของภาษาใช้พูดกันในชีวิตประจำวัน
จึงมีการเรียนรู้เกี่ยวกับวัฒนธรรมเจ้าของภาษาด้วย เริ่มต้นด้วยภาษาพูด โดยยังไม่ให้ผู้เรียนเห็นรูปแบบของภาษา ผู้เรียนจะต้องเลียนแบบเสียงของผู้สอน จนสามารถฟังเข้าใจ เน้นการท่องจำบทสนทนา แล้วจึงเริ่มจากฝึกอ่านและเขียน
วิธีการสอนแบบเงียบ ( The
Silent way ) วิธีการสอนนี้มีหลักการที่เน้นความรู้ความเข้าใจเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ ให้ผู้เรียนคิดเอง
ผู้สอนจะพูดน้อยที่สุดและเปิดประตูโอกาสให้ผู้เรียนได้พูด การแก้ไขปัญหาเป็นส่วนสำคัญของการเรียนรู้
ผู้สอนเป็นเพียงผู้ช่วยเหลือให้ผู้เรียนได้เรียนรู้จากสิ่งแวดล้อม
เพื่อให้ผู้เรียนได้ใช้ความคิดความเข้าใจที่ค้นพบกฎเกณฑ์ทางภาษาด้วยตนเองและจากเพื่อนๆ
การเรียนรู้แบบภาระงาน ( Tash - Based Learning ) การเรียนรู้แบบเน้นภาระงาน เป็นการเรียนเรสอนที่ใช้ภาระงาน ( tasks) เป็นหลัก
โดยให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการพัฒนาการเรียนการสอน
โดยภาระงานที่นำมาใช้ในการจัดการเรียนการสอนต้องเสริมให้ผู้เรียนได้ใช้ภาษาในการปฏิบัติภาระงานนั้นให้สำเร็จ ต้องวิเคราะห์
จัดประเภท จัดลำดับ และพิจารณาความยากง่ายเพื่อให้เหมาะสมกับผู้เรียนเป็นภาระงานที่ทำให้ผู้เรียนบรรลุตามจุดมุ่งหมาย และตรงกับความต้องการของผู้เรียน
การเรียนรู้แบบภาระงาน ( Project - Based
Learning ) โครงงาน คือ
งานศึกษาค้นคว้าที่ผู้เรียนทำร่วมกันเกี่ยวกับหัวข้อเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ที่ผู้เรียนต้องการศึกษาแล้วดำเนินการศึกษาค้นคว้าภายในเวลาที่ตกลงกันไว้จนได้ผลตามจุดประสงค์ที่กำหนด
โครงงานเป็นวิธีการสอนให้ผู้เรียนเกิดกระบวนการเรียนรู้ด้วยตนเอง ซึ่งเป็นการจัดการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ การสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ การทำโครงงาต้องเริ่มต้นจากผู้เรียน เป็นผู้คิด
ลงมือปฏิบัติ
หาทางแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นโดยมีผู้สอนคอยแนะนำช่วยเหลือ กระตุ้น
เช่น การจัดนิทรรศการ
แนวการสอนภาษาแบบกำหนดสถานการณ์ แนวการสอนภาษาแบบกำหนดสถานการณ์ จะมีลักษณะคล้ายๆ กับ Role
play จะเน้นที่ตัวผู้เรียน
ผู้สอนหรือผู้เรียนเลือกสถานการณ์ที่คิดว่าผู้เรียนจะต้องประสบในการใช้ภาษา
แล้วจังเอาภาษาที่ใช้ในสถานการณ์นั้นมาจัดการสอน ตามวัตถุประสงค์ของผู้เรียนและของบทเรียน เช่น
ผู้เรียนที่เรียนภาษาเพื่อจุดประสงค์ของการท่องเที่ยวก็จะเรียนภาษาในสถานการณ์ที่จะพบเห็นในการท่องเที่ยว เช่น At
the , Buying a ticket Booking
a hotel.
แนวการสอนภาษาเพื่อการสื่อสาร ( The communicative approach )
หรือ Communicative language
teaching เป็นการจัดการเรียนการสอนคามทฤษฎีการเรียนรู้ซึ่งมุ่งเน้นความสำคัญของผู้เรียน จัดลำดับการเรียนรู้เป็นขั้นตอนดามกระบวนการใช้ความคิดของผู้เรียน โดยเริ่มจากการฟังไปสู่การพูด การอ่านจับใจความสำคัญ ทำความเข้าใจ
จดจำ
แล้วนำสิ่งที่ได้เรียนรู้ไปมากกว่าการจดจำ
วิธีการสอนตามแนวธรรมชาติ ( The
Natural approach ) โดยมีการพัฒนาการสอนตามแนวธรรมชาติ
เป็นการเรียนรู้การรับรู้ภาษาที่หนึ่งของเด็กเล็ก
ซึ่งเป็นการรับรู้ที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติโดยที่ไม่มีใครสอน พัฒนาทักษะทางภาษาเพื่อการสื่อสารกับเจ้าของภาษาโดยที่ยังคงให้ความสำคัญของความถูกต้องในการใช้ไวยกรณ์โดยวิธีการตรวจแก้ไขไปเรื่อยๆ และระยะยาวของผู้เรียนจะสามารถใช้ภาษาในการสื่อสารได้ตามหลักไวยกรณ์ โดยเชื่อว่าความเข้าใจข้อความมาก่อนการพูดการสนทนา และไม่จำเป็นต้องแสดงออกด้านทักษะการพูด
วิธีการสอนแบบชักชวนเป็นวิธีการสอนที่นักจิตวิทยาการศึกษาชาวบัลการเรียชื่อ ( George Lozanow )
วิธีสอนแบบชักชวนอิงแนวคิดที่ว่าสมองของมนุษย์เต็มไปด้วยพลัง แต่ถูกนำมาใช้เพียงเล็กน้อย
ผู้สอนจึงควรโน้มน้าวให้ผู้เรียนได้ใช้พลังสมองของตนอย่างเต็มที่โดยขจัดความกลัว ความวิตกกังวล
และข้อห้ามต่างๆ ที่เป็นอุปสรรคต่อการเรียนภาษา ควรให้ผู้เรียนได้เรียนด้วยความสนุกสนานผ่อนคลายทางจิต
กิจกรรมทางภาษาที่เน้นการสื่อสาร เน้นสภาพแวดล้อมที่เป็นจริงในการใช้ภาษา เช่น
การแสดงละคร , การฟังบทสนทนามีดนตรีเบาๆ
ประกอบ
วิธีการสอนแบบตอบสนองด้วยท่าทาง
วิธีการนี้ได้แนวคิดจากงานวิจัยด้านจิตวิทยาพัฒนาการและทฤษฎีการเรียนรู้
โดยเชื่อมโยงกับทฤษฎีของการจำในเชิงจิตวิทยา
มีความเชื่อว่าถ้าบุคคลใดได้รับการฝึกฝนบ่อยๆ อย่างต่อเนื่อง ก็จะเกิดการเก็บสะสมประสบการณ์ต่างๆ และสามารถระลึกและถ่ายทอดออกมาได้ การจำเกิดจากการฝึกท่องจำหรือแสดงท่าทาง มุ่งพัฒนาความเข้าใจในการฟัง ในช่วงต้นของการเรียนรู้โดยการแสดงท่าทางใช้คำสั่งเป็นหลักในการสอน
การเรียนรู้แบบร่วมมือ ( Cooperative Leaning )
การจัดการเรียนการสอนที่แบ่งผู้เรียนออกเป็นกลุ่มย่อยๆ
ส่งเสริมให้ผู้เรียนทำงานร่วมกันเพื่อให้ตนเองและสมาชิกทุกคนในกลุ่มประสบความสำเร็จตามเป้าหมายที่กำหนดให้ผู้เรียนมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างกันในลักษณะประชาธิปไตย เช่น
การคัด การพูดคุย กิจกรรมโต๊ะกลม,คู่ตรวจสอบการสอนภาษาว่าควรนำเสนอภาษาใหม่ในรูปแบบภาที่พบในสถานการณ์จริง เพื่อนำไปสู่การสอนคำศัพท์ ไวยกรณ์
การอออกเสียงมีการฝึกฝนจนเกิดความเข้าใจเนื้อหาไวยกรณ์ สามารถใช้ได้อย่างถูกต้อง แล้วจึงนำความรู้ที่ได้ไปฝึกในสถานการณ์จริง
การสอนที่เน้นสาระการเรียนรู้ การภาษาที่นำเนื้อหาวิชาต่างๆ มาบูรณาการกับจุดหมายของการอสนภาษา กล่าวคือผู้เรียนใช้ภาษาเป็นเครื่องมือในการเรียนรู้ และในขณะเดียวกันก็พัฒนาการใช้ภาษาเพื่อการสื่อสารไปด้วย
ดังนั้นการคัดเลือกเนื้อหาที่นำมาให้ผู้เรียนได้เรียนจึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง
เพราะเนื้อหาที่คัดเลือมาจะต้องเอื้อต่อการบูรณการการสอนภาษาทั้ง 4
ภาษาทักษะ คือ การฟัง
การพูด การอ่าน การเขียน
นอกจากนี้ยังช่วยให้ผู้เรียนสามารถพัฒนากระบวนการคิดวิเคราะห์ สามารถตีความประมวลข้อมูลของเรื่อง
และพัฒนาการเขียนเชิงวิชาการที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนั้นๆ ได้
ทำให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ภาษาในลักษณะองค์รวม
การจัดการเรียนรู้แบบบูรณาการ
กลวิธีการเรียนรู้ซึ่งเปิดโอกาสให้ใช้วิธีการตั้งคำถาม และกระบวนการแก้ปัญหา
เป็นตัวนำกระบวนการแสวงหาความรู้และทักษะโดยไม่ยึดติดโครงสร้างของสาขาวิชาต่างๆ ทางด้านวิชาการ เพื่อเป็นประโยชนน์ในการจัดหลักสูตรและจัดการเรียนการสอน
การเรียนรู้แบบบูรณาการเป็นการเชื่อมโยงความคิดรวบยอดจากวิชาและประสบการณ์ต่างๆ เข้ามาผสมผสานเป็นการส่งเสริมให้มีการขยายโลกทัศน์และวิสันทัศน์ให้กว้างขึ้น
นอกจากนี้ผู้เรียนยังสามารถเชื่อมโยงสิ่งที่เรียนเข้ากับชีวิตจริงและสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง จนเกิดการเรียนรู้ที่มีความหมายมากขึ้น
เรื่องราวข้อมูลของคุณเยี่ยมมากๆ หนังออนไลน์
ตอบลบ