วันอังคารที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558
ฝึกทักษะการฟัง จากบทเพลงที่มีชื่อว่า HOME , อ่านวรรณคดี Eighteenth century prose
วันที่ 7.10.58 นั้น
ดิฉันได้เริ่มต้นฝึกทักษะการฟัง
โดยดิฉันได้เริ่มต้นฝึกทักษะการฟังจากบทเพลงที่มีชื่อว่า “ HOME ” ชื่อศิลปิน Michael Bublé โดยชื่อเพลงนี้มีความหมายสั้นๆ ว่า “ บ้าน ” โดยความหมายโดยรวมของเนื้อเพลงมีดังนี้ “คนที่อยู่ต่างบ้านต่างเมืองกำลังคิดถึงบ้าน
คิดถึงคนรักที่บ้าน จึงมีความต้องการที่จะกลับบ้าน ”
ซึ่งบทเพลงนี้จะมีการใช้ไวยากรณ์ ( Grammar ) ซึ่งไวยากรณ์ที่ใช้ในบทเพลงนั้นส่วนมากที่เห็นได้ชัด นั่นคือเรื่อง Tense
ส่วนคำศัพท์โดยภาพรวมของเพลงนี้เป็นคำศัพท์ที่เรารู้บ้างแล้ว
ทำให้เราสามารถเข้าใจความหมายของเนื้อเพลงได้
โดยไม่เปิดดูความหมายของคำศัพท์จากพจนานุกรมภาษาอังกฤษ
จะเป็นการกล่าวถึงความหมายของคำศัพท์ที่ไม่รู้ความหมาย เพื่อนำมาแปลความหมายในประโยค ก่อนที่เราจะเข้าใจความหมายได้นั้น
เราต้องรู้จักความหมายของคำเหล่านี้ก่อน
want to = อยากจะ หรือ
ต้องการที่จะ
surrounded (adj.) = ล้อมรอบ , แวดล้อมด้วย
million (n. ,adj.) = ล้าน, จำนวนล้าน
alone (adj. , adv.) = เหงา, โดดเดี่ยว
enough (adj.) = พอ, พอเพียง
flat (adj.) = แบน, เรียบ
deserve (v.) = สมควรจะได้รับ
stepped (v.) = ก้าวเดิน, เดิน
dream (n.) = ความฝัน
believe (n.) = เชื่อ
winter (n.) = หน้าหนาว ,ฤดูหนาว
ซึ่งความหมายของคำศัพท์เหล่านี้จะต้องรู้จักหน้าที่ชนิดของคำด้วย
เพื่อจะได้แปลความได้ถูกต้องตามบริบทและมีความไพเราะ เมื่อผู้อ่านอ่านแล้วเกิดความประทับใจ
จากบทเพลง
Home ดิฉันนั้นชอบเนื้อเพลงท่อนดังต่อไปนี้เป็นอย่างมาก
โดยเนื้อเพลงมีดังต่อไปนี้
Let me go home
And I feel just like I’m living
someone else’s life
จากท่อนดังกล่าวดิฉันสามารถแปลความหมายได้ดังนี้
ให้ผมกลับบ้านเถอะ
ผมอยู่ไกลจากที่ที่คุณอยู่เกินไป
ผมอยากกลับบ้าน
และผลรู้สึกเหมือนกับว่าผมมีชีวิตอยู่เพื่อใครบางคน
มันเหมือนกับว่าผมหนีไป
เมื่อทุกอย่างกำลังดำเนินไปด้วยดีและผมทราบว่าทำไมผมกับคุณจึงไปกับไม่ได้
แต่นี่ไม่ใช่สิ่งที่คุณใฝ่ฝัน
และคุณก็ไว้ใจผมได้เสมอ
Some
words and expression (คำศัพท์และสำนวน)
ในส่วนนี้จะเป็นการกล่าวถึงเรื่องศัพท์หรือสำนวนต่างๆในบทเพลงนี้ ที่สามารถเขียนประโยคได้หลายรูปแบบ
แต่มีความหมายใกล้เคียงกับประโยคเดิม ซึ่งแปลความหมายได้ดังประโยคต่อไปนี้
จะยกตัวอย่างประโยค เช่น
Each one a line or two
(แต่ละฉบับมีหนึ่งหรือสอง) ซึ่งจะมีประโยคที่ให้ความหมายใกล้เคียงกันคือ A sentence or two
in each letter และ A few
words in each
letter. ซึ่งสามารถแปลความหมายของทั้งสองประโยคได้ว่า ประโยคหนึ่งหรือสองในจดหมายแต่ละฉบับ และ 2-3 คำในแต่ละฉบับ
ประโยคต่อมาคือ my worlds were cold and
flat (คำพูดของผมเป็นสิ่งเย็นชาและจืดชืด) มีประโยคที่มีความหมายใกล้เคียงดังนี้ คือ My
words were unpleasant and ineffectual ซึ่งแปลว่า คำพูดของผมเป็นสิ่งที่ไม่น่าสนใจ และ My words were unloving ซึ่งแปลว่าคำพูดของผมเป็นคำพูดที่ปราศจากความรักและทื่อ
อีกประโยคหนึ่ง
when everything was going right (เมื่อทุกอย่างดำเนินไปด้วยดี) จะมีความหมายใกล้เคียงกับประโยคที่ว่า when everything was wonderful (เมื่อทุกอย่างดี)
ต่อไปนี้จะเป็นการกล่าวถึงความรู้เกี่ยวกับไวยากรณ์
(Grammar) ซึ่งประโยคต่อไปนี้จะเป็นหลักการใช้ไวยากรณ์เกี่ยวกับ
Tense ซึ่งประโยคมีดังต่อไปนี้
-
But I wanna go home
มีความหมายว่า
มีความหมายว่าแต่ฉันต้องการไปบ้าน ใช้ Present simple tense
-
ในประโยค And I’ve been
keeping all the
letters that I wrote
to you.
มีความหมายว่า
ผมทำหน้าที่ของผมเสร็จแล้ว ใช้ Present perfect tense
-
ในประโยค I’ll be
home tonight มีความหมายว่า ผมจะกลับบ้านคืนนี้ ใช้ Future simple ในการแต่งประโยค
ดังนั้นเราจึงสรุปความรู้ที่ได้จากบทเพลง Home ได้ประเด็นความรู้ดังนี้ การแปลความหมายของบทเพลง ความหมายของคำศัพท์ต่างๆ
ความรู้เรื่องเกี่ยวกับประโยคที่มีการใช้หลักไวยากรณ์เรื่อง Tense และเรื่อง some words and
expression (คำศัพท์และสำนวน) รวมไปถึงการฝึกทักษะการฟัง
ซึ่งเมื่อเราฟังเพลงเราก็จะคุ้นชินกับภาษาที่มีสำเนียง น้ำเสียง
การเน้นเสียง การเชื่อมคำในประโยค เพื่อที่จะทำให้เราฟังได้อย่างเข้าใจในความหมาย
และคุ้นเคยกับภาษาและสำเนียงแท้จริงของเจ้าของภาษา
วันที่
9.10.58
ดิฉันได้ศึกษาเกี่ยวกับเรื่อง Tense(กาล/เวลา) conditional sentence (ประโยคเงื่อนไข) adjective
clause to adjective
phrase ( การทำ adjective clause ให้เป็น adjective
phrase ) และเรื่อง passive voice และเรื่องสุดท้ายคือ noun
clause ซึ่งเรื่องทั้งหมดที่กล่าวมานี้
ดิฉันมีความจำเป็นที่จะต้องรู้แจ้งแจ่มชัด
เพราะดิฉันจะต้องใช้ไวยากรณ์เหล่านี้เชื่องโยงไปสู่การแปลความที่มีภาษาที่สวยงาม
เข้าใจความหมายได้อย่างชัดเจน ความหมายไม่ผิดเพี้ยนไปจากความหมายเดิม
Tense(กาล/เวลา) คำกริยาในประโยคในภาษาอังกฤษ
จะบอกการกระทำให้ทราบว่าเกิดขึ้นเมื่อไหร่
เกิดขึ้นแล้ว หรือจะเกิดขึ้น หรือเกิดขึ้นแล้วในอนาคต
ดังนั้นประโยคภาษาอังกฤษทั้งสองข้อใช้เวลาต่างกัน และมีความหมายต่างกัน
ยกตัวอย่างประโยคดังนี้
-
He lived in Lampang for a year. (Past simple)
มีความหมายว่า เขาเคยอยู่ลำปางมาก่อน 1 ปี จะเข้าใจความหมายได้ว่า อยู่เมื่อไรไม่ทราบ
ทราบแต่ว่าอยู่มาก่อน เวลาที่พูดถึงหรือปัจจุบันเขาไม่ได้อยู่แล้ว
-
อีกประโยคหนึ่ง คือ He lived in Lampang for a
year. (Present perfect)
มีความหมายว่า เขาอยู่ลำปางมาแล้ว 1 ปี เดี๋ยวนี้เขาก็ยังอยู่
รูปประโยคในภาษาอังกฤษทั้งสองประโยคที่กล่าวมาข้างต้นนั้น
ไม่มีคำขยายใดๆบอกให้รู้ว่า เคยอยู่มีแล้วแต่เดี๋ยวนี้ไม่อยู่
หรืออยู่มานานแล้วและเดี๋ยวนี้ก็ยังคงอยู่ต่อไป สิ่งที่บอกให้ทราบคือ
รูปของคำกริยาที่ใช้เวลาต่างกัน โดยมีข้อแนะนำในการแปลเกี่ยวกับปัญหาเรื่องเวลา
ดังนี้ ต้องใช้คำว่า Tense ในภาษาอังกฤษนั้น นอกจากจะบอกว่าการกระทำเกิดขึ้นเมื่อไหร่แล้ว
การใช้เวลายังบอกให้ทราบถึงสิ่งอื่นๆอีกด้วย เช่น การคาดคะเน การตั้งใจ ความสามารถ
การสมมติ ความปรารถนา เป็นต้น ตีความให้ได้ก่อนว่าการใช้เวลานั้นๆ
ในประโยคนั้นหมายความว่าอย่างไร และในภาษาไทยควรใช้ข้อความอย่างไรจึงจะได้คามหมายตรงกัน
และข้อสุดท้ายคือ ถ้าจำเป็นจะต้องเติมตัด
หรือเปลี่ยนแปลงคำขยายเกี่ยวกับเวลาอย่างไร
ต้องให้มีลักษณะสำนวนเป็นไทยในที่เข้าใจกันโดยทั่วไป
ประโยคเงื่อนไข ( conditional sentence ) จะประกอบด้วย
2 ส่วน คือ ส่วนที่ if –
clause และส่วนที่เป็น main-clause โดยทั่วไปประโยคเงื่อนไข
ในภาษาอังกฤษจะแบ่งออกเป็น 3 แบบใหญ่ๆ ดังนี้
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
สรุปเรื่องราวออกมาได้ดีมากคับ หนังออนไลน์
ตอบลบ