วันอังคารที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

ฝึกทักษะการฟัง จากบทเพลงที่มีชื่อว่า HOME , อ่านวรรณคดี Eighteenth century prose

Learning Log 10  ( 06.10.58 )
·       สิ่งที่ได้เรียนรู้นอกห้องเรียน

ในยุคนี้เป็นยุคที่ภาอังกฤษกำลังเฟื่องฟู เนื่องจากได้รับให้เป็นภาษาที่สอง ที่ทั่วโลกจะต้องใช้ภาษาในการสื่อสาร จึงทำให้มีการจัดการเรียนการสอนในภาษาอังกฤษในระบบและนอกระบบที่หลายหลาย ดังนั้นการฝึกฝนทักษะภาอังกฤษ จึงสามารถศึกษาได้หลากหลายที่เกี่ยวข้องกับภาษาอังกฤษผ่านทางวิทยุ โทรทัศน์ และอินเทอร์เน็ต ซึ่งเป็นการโอกาสทางด้านการศึกษาให้กับทุกคนหรือบุคคลทั่วไปได้เรียนภาษาอังกฤษได้ ทั้งนี้เพื่อการเรียนภาษาอังกฤษที่ดี ควรมีกลยุทธ์ในการเรียนภาษาทั้ง 10 องค์ประกอบ เพื่อก่อให้เกิดการเรียนรู้อย่างแท้จริง เพราะการฝึกทักษะทางภาษาของผู้เรียน ก็คือการฝึกพฤติกรรมการใช้ภาษาซ้ำแล้วซ้ำเล่า จากข้อมูลความรู้ทางภาษาของผู้เรียนจนสามารถนำทักษะที่ฝึกฝนมาใช้ได้จริงอย่างธรรมชาติและถูกต้องคล่องแคล่ว ดังนั้นดิฉันจึงต้องมีการฝึกฝนทักษะทางภาษาอังกฤษ ทั้งฟัง พูด อ่าน เขียน เพื่อจะได้นำความรู้ ความสามรถมาใช้ในการเรียนและการสื่อสารภาษาอังกฤษมาใช้ในชีวิตประจำวันของเราได้อย่างมีประสิทธิภาพ

วันที่ 7.10.58 นั้น ดิฉันได้เริ่มต้นฝึกทักษะการฟัง โดยดิฉันได้เริ่มต้นฝึกทักษะการฟังจากบทเพลงที่มีชื่อว่า HOME ”  ชื่อศิลปิน  Michael  Bublé    โดยชื่อเพลงนี้มีความหมายสั้นๆ ว่า บ้าน  โดยความหมายโดยรวมของเนื้อเพลงมีดังนี้  คนที่อยู่ต่างบ้านต่างเมืองกำลังคิดถึงบ้าน คิดถึงคนรักที่บ้าน จึงมีความต้องการที่จะกลับบ้าน ซึ่งบทเพลงนี้จะมีการใช้ไวยากรณ์ ( Grammar ) ซึ่งไวยากรณ์ที่ใช้ในบทเพลงนั้นส่วนมากที่เห็นได้ชัด นั่นคือเรื่อง Tense ส่วนคำศัพท์โดยภาพรวมของเพลงนี้เป็นคำศัพท์ที่เรารู้บ้างแล้ว ทำให้เราสามารถเข้าใจความหมายของเนื้อเพลงได้ โดยไม่เปิดดูความหมายของคำศัพท์จากพจนานุกรมภาษาอังกฤษ  จะเป็นการกล่าวถึงความหมายของคำศัพท์ที่ไม่รู้ความหมาย  เพื่อนำมาแปลความหมายในประโยค  ก่อนที่เราจะเข้าใจความหมายได้นั้น เราต้องรู้จักความหมายของคำเหล่านี้ก่อน

want to                                          =             อยากจะ หรือ ต้องการที่จะ

surrounded   (adj.)                      =             ล้อมรอบ , แวดล้อมด้วย

million (n. ,adj.)                        =             ล้าน, จำนวนล้าน

alone (adj. , adv.)                      =             เหงา, โดดเดี่ยว

enough (adj.)                               =             พอ, พอเพียง

flat (adj.)                                      =             แบน, เรียบ

deserve (v.)                                  =             สมควรจะได้รับ

stepped (v.)                                  =             ก้าวเดิน, เดิน

dream (n.)                                    =             ความฝัน

believe (n.)                                  =             เชื่อ

winter (n.)                                    =             หน้าหนาว ,ฤดูหนาว

ซึ่งความหมายของคำศัพท์เหล่านี้จะต้องรู้จักหน้าที่ชนิดของคำด้วย เพื่อจะได้แปลความได้ถูกต้องตามบริบทและมีความไพเราะ  เมื่อผู้อ่านอ่านแล้วเกิดความประทับใจ

        จากบทเพลง Home ดิฉันนั้นชอบเนื้อเพลงท่อนดังต่อไปนี้เป็นอย่างมาก โดยเนื้อเพลงมีดังต่อไปนี้

Let me go home
I’m just too far from where you are
I wanna come home 


And I feel just like I’m living someone else’s life
It’s like I just stepped outside
When everything was going right
And I know just why you could not Come along with me
But this was not your dream
But you always believe in me

 

จากท่อนดังกล่าวดิฉันสามารถแปลความหมายได้ดังนี้

ให้ผมกลับบ้านเถอะ

ผมอยู่ไกลจากที่ที่คุณอยู่เกินไป

ผมอยากกลับบ้าน

และผลรู้สึกเหมือนกับว่าผมมีชีวิตอยู่เพื่อใครบางคน

มันเหมือนกับว่าผมหนีไป

เมื่อทุกอย่างกำลังดำเนินไปด้วยดีและผมทราบว่าทำไมผมกับคุณจึงไปกับไม่ได้

แต่นี่ไม่ใช่สิ่งที่คุณใฝ่ฝัน

และคุณก็ไว้ใจผมได้เสมอ

 

Some words and expression (คำศัพท์และสำนวน)

ในส่วนนี้จะเป็นการกล่าวถึงเรื่องศัพท์หรือสำนวนต่างๆในบทเพลงนี้  ที่สามารถเขียนประโยคได้หลายรูปแบบ แต่มีความหมายใกล้เคียงกับประโยคเดิม ซึ่งแปลความหมายได้ดังประโยคต่อไปนี้

จะยกตัวอย่างประโยค เช่น

Each one a line or two  (แต่ละฉบับมีหนึ่งหรือสอง)  ซึ่งจะมีประโยคที่ให้ความหมายใกล้เคียงกันคือ   A sentence  or  two in each letter   และ  A  few  words  in  each  letter.   ซึ่งสามารถแปลความหมายของทั้งสองประโยคได้ว่า  ประโยคหนึ่งหรือสองในจดหมายแต่ละฉบับ  และ  2-3 คำในแต่ละฉบับ  

ประโยคต่อมาคือ  my worlds were cold  and  flat  (คำพูดของผมเป็นสิ่งเย็นชาและจืดชืด)  มีประโยคที่มีความหมายใกล้เคียงดังนี้ คือ My words were unpleasant and ineffectual  ซึ่งแปลว่า คำพูดของผมเป็นสิ่งที่ไม่น่าสนใจ  และ My words were  unloving  ซึ่งแปลว่าคำพูดของผมเป็นคำพูดที่ปราศจากความรักและทื่อ

อีกประโยคหนึ่ง  when everything was going right (เมื่อทุกอย่างดำเนินไปด้วยดี) จะมีความหมายใกล้เคียงกับประโยคที่ว่า when everything was wonderful (เมื่อทุกอย่างดี)

 

ต่อไปนี้จะเป็นการกล่าวถึงความรู้เกี่ยวกับไวยากรณ์ (Grammar)  ซึ่งประโยคต่อไปนี้จะเป็นหลักการใช้ไวยากรณ์เกี่ยวกับ Tense ซึ่งประโยคมีดังต่อไปนี้

-                    But I wanna go home

มีความหมายว่า  มีความหมายว่าแต่ฉันต้องการไปบ้าน  ใช้ Present simple tense

-                    ในประโยค And  I’ve  been  keeping  all  the  letters  that  I wrote  to  you

มีความหมายว่า  ผมทำหน้าที่ของผมเสร็จแล้ว  ใช้ Present perfect  tense 

-                   ในประโยค  I’ll be home tonight   มีความหมายว่า  ผมจะกลับบ้านคืนนี้ ใช้ Future simple ในการแต่งประโยค

ดังนั้นเราจึงสรุปความรู้ที่ได้จากบทเพลง Home ได้ประเด็นความรู้ดังนี้ การแปลความหมายของบทเพลง ความหมายของคำศัพท์ต่างๆ ความรู้เรื่องเกี่ยวกับประโยคที่มีการใช้หลักไวยากรณ์เรื่อง Tense และเรื่อง  some words and expression (คำศัพท์และสำนวน) รวมไปถึงการฝึกทักษะการฟัง  ซึ่งเมื่อเราฟังเพลงเราก็จะคุ้นชินกับภาษาที่มีสำเนียง น้ำเสียง การเน้นเสียง การเชื่อมคำในประโยค เพื่อที่จะทำให้เราฟังได้อย่างเข้าใจในความหมาย และคุ้นเคยกับภาษาและสำเนียงแท้จริงของเจ้าของภาษา

       

วันที่ 9.10.58

ดิฉันได้ศึกษาเกี่ยวกับเรื่อง Tense(กาล/เวลา)  conditional sentence (ประโยคเงื่อนไข)  adjective  clause  to  adjective  phrase ( การทำ adjective clause  ให้เป็น  adjective  phrase ) และเรื่อง passive voice  และเรื่องสุดท้ายคือ noun clause ซึ่งเรื่องทั้งหมดที่กล่าวมานี้ ดิฉันมีความจำเป็นที่จะต้องรู้แจ้งแจ่มชัด  เพราะดิฉันจะต้องใช้ไวยากรณ์เหล่านี้เชื่องโยงไปสู่การแปลความที่มีภาษาที่สวยงาม เข้าใจความหมายได้อย่างชัดเจน ความหมายไม่ผิดเพี้ยนไปจากความหมายเดิม

        Tense(กาล/เวลาคำกริยาในประโยคในภาษาอังกฤษ จะบอกการกระทำให้ทราบว่าเกิดขึ้นเมื่อไหร่  เกิดขึ้นแล้ว หรือจะเกิดขึ้น หรือเกิดขึ้นแล้วในอนาคต ดังนั้นประโยคภาษาอังกฤษทั้งสองข้อใช้เวลาต่างกัน และมีความหมายต่างกัน ยกตัวอย่างประโยคดังนี้

-                   He lived in Lampang for a year. (Past simple)

มีความหมายว่า เขาเคยอยู่ลำปางมาก่อน 1 ปี  จะเข้าใจความหมายได้ว่า อยู่เมื่อไรไม่ทราบ ทราบแต่ว่าอยู่มาก่อน เวลาที่พูดถึงหรือปัจจุบันเขาไม่ได้อยู่แล้ว

-                   อีกประโยคหนึ่ง คือ  He lived in Lampang for a year.  (Present perfect)

มีความหมายว่า เขาอยู่ลำปางมาแล้ว 1 ปี เดี๋ยวนี้เขาก็ยังอยู่

 

รูปประโยคในภาษาอังกฤษทั้งสองประโยคที่กล่าวมาข้างต้นนั้น ไม่มีคำขยายใดๆบอกให้รู้ว่า เคยอยู่มีแล้วแต่เดี๋ยวนี้ไม่อยู่ หรืออยู่มานานแล้วและเดี๋ยวนี้ก็ยังคงอยู่ต่อไป สิ่งที่บอกให้ทราบคือ รูปของคำกริยาที่ใช้เวลาต่างกัน โดยมีข้อแนะนำในการแปลเกี่ยวกับปัญหาเรื่องเวลา ดังนี้ ต้องใช้คำว่า  Tense ในภาษาอังกฤษนั้น นอกจากจะบอกว่าการกระทำเกิดขึ้นเมื่อไหร่แล้ว การใช้เวลายังบอกให้ทราบถึงสิ่งอื่นๆอีกด้วย เช่น การคาดคะเน การตั้งใจ ความสามารถ การสมมติ ความปรารถนา เป็นต้น ตีความให้ได้ก่อนว่าการใช้เวลานั้นๆ ในประโยคนั้นหมายความว่าอย่างไร และในภาษาไทยควรใช้ข้อความอย่างไรจึงจะได้คามหมายตรงกัน และข้อสุดท้ายคือ ถ้าจำเป็นจะต้องเติมตัด หรือเปลี่ยนแปลงคำขยายเกี่ยวกับเวลาอย่างไร ต้องให้มีลักษณะสำนวนเป็นไทยในที่เข้าใจกันโดยทั่วไป

 

ประโยคเงื่อนไข ( conditional sentence ) จะประกอบด้วย 2 ส่วน คือ ส่วนที่ if  – clause  และส่วนที่เป็น main-clause  โดยทั่วไปประโยคเงื่อนไข ในภาษาอังกฤษจะแบ่งออกเป็น 3 แบบใหญ่ๆ ดังนี้ 

-                   Present  real   มีโครงสร้างประโยค คือ   If + Present  tense  verb , will / may / can + V.
เป็นการกล่าวถึงการมีเงื่อนไขว่าจะเกิดจริงในอนาคต ต่อไปคือ
-                   Present  unreal  มีโครงสร้างประโยค คือ  If + Past  tense  verb , would / might / could + V.
เป็นการกล่าวถึงเงื่อนไขที่ถูกจำกัดให้เกิดขึ้นเป็นเพียงความคิด ความฝัน หรือ สิ่งที่เป็นไปไม่ได้  และประเภทสุดท้าย คือ
-                   Past  unreal  มีโครงสร้างประโยคคือ If + Past  Perfect  tense  verb , would  have + V.ed
เป็นการกล่าวถึงประโยคเงื่อนไขที่เหตุการณ์หนึ่งเกิดขึ้นแล้วในอดีต ไม่สามารถแก้ไขเหตุการณ์นั้นได้อีก เป็นได้เพียงแค่ความคิดที่จะเปลี่ยนแปลงเหตุการณ์นั้นๆ
                นามานุประโยค (noun  clause) หมายความว่า  ประโยคเหมือนคำนาม ทำหน้าที่เหมือนคำนาม โดย noun  clause จะแตกต่างจากนาม   คือ นามจะเป็นคำเดียวแต่ noun  clause จะเป็นประโยคย่อย ซึ่งจะเป็น นามที่ไม่สมบรูณ์จะประกอบด้วย   ประธาน (Subject) + กริยา (verb) เสมอ ซึ่งการสร้างประโยค noun  clause จะมีด้วยกัน 3 วิธี มีดังนี้
1.             Wh- Question
2.             Yes/ No Question
3.             การเชื่อมโดยคำว่า that
ซึ่ง  noun  clause  จะทำหน้าที่เป็นได้ทั้งประธาน(Subject)   และกรรม (Object) และประโยคที่ตามหลังตัวเชื่อมนั้น noun  clause จะต้องเป็นประโยคบอกเล่าเท่านั้น แม้ว่าประโยคเดิมจะมาจากประโยคคำถามก็ตาม ซึ่งคำเชื่อมที่ใช้เชื่อมประโยค noun  clause มีดังนี้  What, When, Where, Who, that, If, Whether
                11.10.58
                ดิฉันได้อ่านเกี่ยวกับหนังสือวรรณกรรมอังกฤษ โดยบทที่ดิฉันอ่านนั้นมีชื่อว่า Eighteenth  century prose โดย นักกวีในศตวรรษที่ 18 มีอยู่ด้วยกัน 4 คน  คือ Daniel Defoe, Perhaps Swift,
Samuel Richardson, Henry Fielding ซึ่งรายละเอียดในแต่ละคนจะกล่าวดังต่อไปนี้  โดยศตวรรษนี้ที่เริ่มต้นความมีชื่อเสียงของนิยาย
                Daniel Defoe เป็นนักกวีที่เขียนเรื่อง Robinson Crusoe(1974) โดย Robinson Crusoe is a better and more famous book. This story is based on a real event โดยมีเนื้อเรื่องโดยต่อว่า Alexander Selhirk, a sailor who quarreled with his captain , was in fact put on the island of Juan Fernandez, ner chile, and  lived  there alone for four year.
                Defoe made a good story out of this event ; indead , his book is almost a novel, and one of the first in English
ดีไฟว์สร้างเรื่องราวที่ดีจากเหตุการณ์นี้จริงๆ โดยเรื่องนี้อ่านแล้วสนุกจนเกือบได้รับการยกย่องให้เป็นนวนิยาย แต่ก็ยังไม่ได้เป็น
Jonathan Swift was a satirist. At  this time  there was a  satirist . At this time there was  a fierce  argument about the abilities and the book of the ancient and the moderns. โดยมีเรื่องที่แต่งดังนี้ The Battle of the Books (1704) Swift supported  his  friend temple by  writing the better of the book.  Tale of a Tub (1704) attacked religious ideas, and annoyed a large number  of  readers. A modest Proposal(1729), with contains the suggestion that the poor, who needed money, should  sell their children to the rich as food. This kind of satire seriously accepts the evils of the world, and goes on the show their extreme results.
เรื่องที่มีชื่อเสียงของ Swift คือเรื่อง Gulliver’s Travels  มีทั้งหมด 4 เล่ม จะเป็นเรื่องราวที่มีชื่อเสียง ผู้อ่าน 2 เล่มแรก เรื่อง Gulliver’s voyage to Lilliput (ที่ที่มีคนสูงเพียงแค่ 6 นิ้ว ) และ Brobdingnag (ที่ที่มีคนตัวใหญ่) เมือง Lillipu – tians  ต่อสู้กับสงครามที่คล้ายๆว่าจะไร้สาระ พระราชาของ Brobdingnag หลังจากที่ได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับประเทศ Gulliver  โดยที่เขาคิดว่าจะต้องมีสายสัมพันธ์ที่น่ารังเกียจบนโลกนี้ ก็คือมนุษย์ของเราบนโลกนั่นเอง
Samuel Richardson writed  Pamela, It is the first English novel , Pamela is a novel written in the form of letters, and these appeared one after  the other. This book is different from mere stories of adventure; for it examines the human heart and shoe the effects of human character.
โดยสามารถแปลความหมายได้ว่า Samuel Richardson เขียนนวนิยายเรื่อง Pamela เรื่องนี้เป็นนวนิยายเรื่องแรกของอังกฤษ Pamela เป็นนวนิยายถูกเขียนในรูปแบบของจดหมาย และจะปรากฏในที่อื่นๆ หนังสือเล่มนี้จะแตกต่างจากหนังสือผจญภัยเล่มอื่นๆ จะมีลักษณะของตัวละครซึ่งเป็นคดี และได้รับรางวัลคนดี ซึ่งกล่าวได้คือ จะเป็นลักษณะตัวละครที่การแสดงโดยใช้จิตใจและหัวใจ รวมทั้งการแสดงนั้นจะขึ้นอยู่กับพื้นฐานชีวิตจริงของมนุษย์ในปัจจุบัน โดยจะมีฉากบ้านเมืองของสมัยนั้นจริงๆและมีการสะท้อนจิตใจของมนุษย์จริงๆ
Henry Fielding , a man of gay character , began a novel, Joseph Andrew (1742), as a kine of satire on Pamela, Joseph is  supposed  to be her brother. Pamela was a serving-girl whose master paid her too much attention; Joseph  is also s servant and is in difficulties  of the same sort. Fielding soon become interested in his own novel, and let  Joseph fall into the blackgroung. The later part of the novel is chiefly about Preson  Adam, a simple , funny , and a good. Hearted  priest. Fielding worth  the  novel directly,  as a straight story, without  trick  of  letters.
Henry Fielding เป็นผู้ชายที่ร่าเริง เป็นจุดเริ่มต้นของนิยายเรื่อง Joseph Andrew จะเป็นแนวประชดประชัน Joseph เป็นพี่ชายของ Pamela  ซึ่งทั้งสองเป็นคนใช้ ซึ่งน้องสาวได้รับความสนใจจากเจ้านายมากกว่าพี่ชาย ซึ่งพี่ชายลำบาก Fielding จะเขียนให้ Joseph เป็นตัวละครเอกที่จะเป็นตัวละครที่ดำเนินเรื่องทั้งหมด  มีอีกตัวละครหนึ่งเป็นบาทหลวง เป็นตัวละครที่ตลก สนุกสนาน ดี  โดยเรื่องนี้จะเป็นการเขียนอย่างตรงไปตรงมา แต่จะไม่เขียนในรูปแบบของจดหมาย
                ดังนั้นจึงสรุปเรื่อง Eighteenth  century prose ได้ใจความสำคัญดังนี้คือ นักกวีในศตวรรษที่ 18 มีอยู่ด้วยกัน 4 คน  คือ  1. Daniel Defoe, 2. Perhaps Swift,  3.Samuel Richardson,   4. Henry Fielding
โดยศตวรรษที่ 18 นี้เป็นจุดเริ่มต้นนวนิยายที่มีชื่อเสียง ซึ่งนวนิยายที่มีการยกย่องให้เป็นนวนิยายเล่มแรกที่มีชื่อเสียงของวรรณคดีของอังกฤษ ชื่อนวนิยายว่า Pamela   แต่งโดยนักแต่งนวนิยายที่มีชื่อเสียงว่า Samuel Richardson และต่อมานักแต่งนวนิยายอื่นๆก็ได้แต่งนวนิยายของตนเองจนมีชื่อเสียงโด่งดังตามมา โดยเรื่อง Pamela มีชื่อเสียงเนื่องจากมีการเขียนในรูปแบบของจดหมาย มีลักษณะของตัวละครที่เหมือนในชีวิตจริง ฉากก็เหมือนในสถานที่ชีวิตจริง
12.10.58
ดิฉันได้อ่านหนังสือเกี่ยวกับวรรณคดีอังกฤษ โดยบทที่ดิฉันอ่านนั้นมีชื่อว่า None Tooth- century Novelistsโดยจะมีนักแต่งนิยายในศตวรรษที่19 จำนวน5 คน โดยมีชื่อว่า Jane Austen , Mary Shelley, Edgar  Allanpoe, Charles Dickens, William  Makepease  Thackeray ,Charlotte  Bronte ซึ่งนักแต่งนวนิยายทั้ง  5 คนนี้จะมีลักษณะการเขียนนวนิยายที่แตกต่างกัน จนได้งานเขียนนวนิยายที่น่าสนใจมาให้อ่านจนประทับใจจนปัจจุบัน
Jane Austen  is though  her wrote her books in troubled years which included  the French  revolution , her  novels  are clam  pictures of society life to its highest point of  perfection. Her works  were untouched by the ugliness of the outside world ; she kept the action to scenes familier to her through her own experience.
                Jane Austen เป็นนักแต่งนิยายในยุคที่มีการปฏิวัติในฝรั่งเศส  นวนิยายของหล่อนจะนำเสนอในรุปแบบที่สงบของสังคมชีวิต  หล่อนมักจะเขียนนวนิยายเกี่ยวกับชีวิตครอบครัวที่มีความสมบรูณ์     เขาเขียนนวนิยายโดยไม่สัมผัสกับด้านนอกของโลก ซึ่งในยุดนั้นกำลังวุ่นวาย หล่อนเขียนการกระทำที่ใกล้เคียงกับฉากที่มีความใกล้เคียงกับประสบการณ์
Pride and Prejudice  . Elizabelt  Bennet in Pride and Prejudice   is quite as delightful as Jane Austen  called  her. Mr. Bennet   is clearly  delightful, and  most  of   the  other  leading  character  in this novel  are first- class.
                Pride and Prejudice  เป็นนวนิยายที่ Jane แต่ง   Elizabelt  Bennet ใน Pride and Prejudice เป็นคนที่เรียบร้อย น่าปิติยินดี เหมือนกับ Jane Austen ผู้แต่งนวนิยาย Mr. Bennet  เป็นตัวละครที่เป็นตัวเอกของเรื่องนี้
                Mary Shelley, the Poet’s wife is remembered  new chiefly as the writer of a famous novel of terror, Frankenstien(1818). Frankenstien eas begun as a ghost story; but Mrs. Shelley made her character, the Genevan  student Frankenstien, collect bones, build a human begin, and give it life, Everyone hates it for its ugliness, and it is lonely and fierce. It  murders Frankenstien brother and his wife. Frankenstien follows it to the for north and his himself killed by it . The creature then disappears. It has remained the pattern of  machine. Men, and the book may will be  considered as the first attempt at science  fiction , a form of literature very common in the modern world.
                Mary Shelley ภรรยาของนักกวี โดยเขียนนวนิยายที่มีความหวาดกลัวที่มีชื่อว่า Frankenstien  ได้ติดตามผีไปยังตอนเหนือและได้ต่อสู้กับผี จนในที่สุด Frankenstien ได้ตาย และผีได้ถูกชาวบ้านตามจับ เมื่อจับได้จึงเผาผีและผีได้ตายในที่สุด ซึ่งนวนิยายเรื่องนี้ถือว่าเป็นนวนิยายแนววิทยาศาสตร์เรื่องแรกที่มีชื่อเสียง โดยนวนิยายเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า คนสร้างเทคโนโลยีได้ แต่ควรระวังว่าสักวันหนึ่งมันอาจจะมาทำร้าย้ราได้
                Gar Allanpoe was born  in the United States, He went  to school  near  London. Most  of  his Poe’s  were unsuccessful, but his stories  have  filled  thousands with interest  and fear. Under the title, The fall of the House of  Usher(1839). Poe’s  powerful  descriptions  of  astonishing  snd ususal  event  have the attraction  of  terrible  things.
                Edgar Allanpoe เกิดที่ US เขาเรียนโรงเรียนใกล้เมืองลอนดอน ส่วนมากบทกวีของเขาไม่ประสบความสำเร็จ แต่เรื่องราวของเขาจะมีความน่าสนใจปนความกลัว โดยนวนิยายมีชื่อว่า The  fall  of  the  House  of   Usher(1839)  .   Poe อธิบายถึงความผิดปกติของเหตุการณ์ที่มีความน่าดึงดูดในของสิ่งที่น่าตกตะลึง
Sir Walter Scott, His charactors, especially the unsual ones , are well  drawn. His historical studies were long and deep, and his stories have the force of careful detail.  He has  left so much that few people can read all of it.
Sir Walter Scott เป็นลักษณะตัวละครที่ผิดปกติ จะเขียนดี จะเขียนแนวประวัติศาสตร์ที่ยาวและลึก  เรื่องราวของเขาจะเขียนแนวร่าเริง น่าปิติยินดี เขาเขียนจนผู้คนจำนวนน้อนจำนวนหนึ่งอ่านหนังสือของเขา
จาการอ่านหนังสือวรรณคดีอังกฤษในศตวรรษที่ 19 นี้ สามารถสรุปได้ว่า ในยุคนี้เป็นยุคที่อยู่ในช่วงการปฏิวัติฝรั่งเศส โดยมีนักนวนิยายในศตวรรษที่ 19 จำนวน 5 คน โดยมีชื่อว่า  Jane Austen ,    Mary Shelley, Edgar  Allanpoe, Charles Dickens, William  Makepease  Thackeray ,Charlotte  Bronte
ซึ่งนักแต่งนวนิยายทั้ง  5 คนนี้จะมีลักษณะการเขียนนวนิยายที่น่าสนใจแตกต่างกัน

1 ความคิดเห็น: