สิ่งที่ได้เรียนรู้ในห้องเรียน
การเรียนภาษาอังกฤษในยุคปัจจุบันจำเป็นต้องอาศัยหลักการที่ว่า Teach less Learn more ซึ่งหมายความว่า สอนให้น้อย
และเรียนรู้ให้มาก ซึ่งในทางตรงกันข้ามกันนั้น ประเทศไทยจะเน้นไปยังการสอนที่มาก
และเรียนรู้น้อยซึ่งแตกต่างกับประเทศสิงคโปร์
นี่อาจจะเป็นประเด็นหนึ่งก็เป็นไปได้ที่ทำให้การศึกษาทางด้านภาษาอังกฤษของเด็กไทยมีการพัฒนาที่น้อยกว่าประเทศอื่นๆในแถบเอเชีย
ดังนั้นการจะเรียนภาษาอังกฤษให้ได้ดีนั้นจะต้องมีการเรียนรู้ สามด้านทางภาษาอังกฤษ
คือ ด้านที่หนึ่งคือ Syntax การแต่งประโยค ด้านที่สองคือ Phonology จะว่าด้วยการออกเสียงให้ถูกต้อง
ส่วน Semantic จะว่าด้วยการแปลความหมาย
ซึ่งการเรียนรู้ที่สำคัญต่อวิชาการแปลนั่นคือ คือ Syntax คือ การแต่งประโยค และ Semantic
จะว่าด้วยการแปลความหมาย ซึ่งการแต่งประโยคและการแปลความหมายนั้นให้ถูกต้องนั้นต้องอาศัยหลักความรู้ในเรื่องของไวยากรณ์เป็นหลักสำคัญ
ดังนั้นพื้นฐานด้านไวยากรณ์ที่จำเป็นอย่างมากในการเรียนการแปลให้ดีและถูกต้องนั้นคือ
Tenses ซึ่งจะเป็นตัวบ่งบอกว่ากระทำอะไรและเวลาใดเพื่อให้ได้การแปลที่ถูกต้องและมีภาษาที่ชัดเจนเข้าใจความหมายได้ง่าย
พื้นฐานด้านไวยากรณ์ที่จำเป็นอย่างมากในการเรียนการแปลให้ดีและถูกต้องนั้นคือ
Tenses ซึ่ง Tenses ในภาษาอังกฤษมีมากถึง 12 Tenses การให้ความหมายในแต่ละ
Tenses นั้นจะมีความหมายที่แตกต่างกันไปตามเวลา อดีต
ปัจจุบัน และ อนาคต โดยใช้ Verb Tenses
จะแบ่ง Tenses ได้ตามช่วงของเวลาของเหตุการณ์ คือ อดีต(
past ) จะบอกความหมายถึงการทำในอดีต ปัจจุบัน ( present ) จะบอกความหมายของการทำในปัจจุบัน
อนาคต ( Future )
จะบอกความหมายของกการกระทำในอนาคต
ซึ่งในแต่ละช่วงเวลานั้นก็จะมีเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแทรกเข้าไปอีก เพื่อให้ได้ทราบถึงเวลาของเหตุการณ์นั้นจริงๆว่า
เหตุการณ์ใดมาก่อนและเหตุการณ์ใดมาหลังในช่วงของเวลาที่เกิดขึ้นเพื่อที่จะได้ให้ความหมายและความเข้าใจที่แม่นยำในช่วงเวลาที่ชัดเจน
จึงทำให้เราต้องเข้าใจ Tenses ทั้ง 12 Tenses พร้อมทั้ง Summary chart of
verb tenses ได้สรุปความทั้ง
12 tenses ที่จะบ่งบอกถึงความแตกต่างกันในเรื่องของช่วงเวลาให้ชัดเจนเพื่อการแปลที่ถูกต้องและมีความหมายที่ชัดเจนไม่คลุมเครือในเรื่องของช่วงเวลาที่เกิดเหตุการณ์นั้น
Summary chart of verb tenses
Tenses
|
Present tenses
|
Past tenses
|
future tenses
|
Simple
|
S+
v1
|
S+ ved
|
|
Continuous
|
|||
Perfect
|
|||
Perfect
Continuous
|
Present tenses
ได้สรุปความทั้ง 4 tenses ได้ว่า Present Simple tenses จะใช้ verb1 มักจะมีการใช้ในชีวิตประจำวัน ถึง 80 %
จะกล่าวถึงการทำกิจวัตรประจำวันที่เป็นปกติ ยกตัวอย่างเช่น the world is
round ซึ่งโลกหมุนรอบตัวเองนั้นคือความจริงที่เป็นปกติ Present
Continuous tenses จะใช้ is / am / are
+ V. ing ซึ่งจะให้ความหมายว่า การกระทำเกิดในอดีตและทำอยู่ในปัจจุบัน Present Perfect tenses จะใช้ have + ซึ่งจะให้ความหมายว่า ผลของการกระทำเสร็จสมบูรณ์เรียบร้อยแล้ว Present Perfect Continuous tenses จะใช้ Have been V.ing ซึ่งจะให้ความหมายว่า การกระทำที่ต่อเนื่องมานานแล้ว
+ V. ing ซึ่งจะให้ความหมายว่า การกระทำเกิดในอดีตและทำอยู่ในปัจจุบัน Present Perfect tenses จะใช้ have + ซึ่งจะให้ความหมายว่า ผลของการกระทำเสร็จสมบูรณ์เรียบร้อยแล้ว Present Perfect Continuous tenses จะใช้ Have been V.ing ซึ่งจะให้ความหมายว่า การกระทำที่ต่อเนื่องมานานแล้ว
เรื่องราวที่คุณได้กล่าวมามีประโยชน์กับฉันมาก หนังออนไลน์
ตอบลบ