Learning Log 5 (01.08.58)
·
สิ่งที่ได้เรียนรู้นอกชั้นเรียน
การเรียนรู้ภาษาอังกฤษนั้นถือว่าเป็นกระบวนการเรียนรู้แบบค่อยเป็นค่อยไป
เป็นการศึกษาภาษาอังกฤษที่ไม่จำกัดอยู่ในเฉพาะตำราเรียนและห้องเรียน ซึ่งการเรียนภาษาอังกฤษภายใต้สภาวะแวดล้อมรอบข้างที่ไม่มีใครพูดภาษาอังกฤษหรือสนทนาภาษาอังกฤษกับเรา
เราจึงต้องเปลี่ยนความพยายามโดยการหมั่นฝึกฝน เพียรพยายามวันละนิด
แต่ต้องมีความสม่ำเสมอ ดังนั้นเมื่อการเรียนรู้ภาษาอังกฤษไม่ได้จำกัดในห้องเรียน
ดิฉันจึงคิดว่าดิฉันควรเริ่มฝึกฝนภาษาอังกฤษจากสิ่งใกล้ตัวเรา
สิ่งที่เราสามารถฝึกฝนได้ตามระดับความรู้เดิมที่มีอยู่
ซึ่งตัวดิฉันเองได้ฝึกทักษะการฟังและการพูด
จากสื่อเพลงและวีดีโอที่สามารถหาได้ง่ายจากอินเทอร์เน็ต
และเป็นแหล่งเรียนรู้ที่ใกล้ตัวเรามากที่สุด
ดังนั้น การฝึกฝนควรเริ่มได้เลยหากใจพร้อม
ซึ่งทักษะการฟังและการพูดคือทักษะที่เป็นจุดด้อยของดิฉัน ดิฉันจึงเริ่มพัฒนาตัวเองจากจุดด้วยจุดนี้
เพลงสากลเป็นแหล่งเรียนรู้และพัฒนาทักษะการฟังและการพูดได้ดี
แต่เพลงสากลนั้นเป็นอุปสรรคอย่างมากสำหรับนักเรียนไทยที่สนใจภาษาอังกฤษเพราะคำฟังไม่ออก
ร้องตามก็ไม่ได้ ในกระทั่งที่ชอบจังหวะ ทำนองดนตรีและตัวศิลปินนักร้อง
ก็ต้องยอมแพ้กับสิ่งที่ต้องการร้องเพลงสากลให้ได้
เพราะ Language Barrier หรือที่เรียกกันว่าอุปสรรคทางภาษา ซึ่งก็คือ ระบบเสียงของชาวไทยกับเจ้าของภาษาอังกฤษนั้น
ซึ่งวัฒนธรรมการร้องเพลงของเจ้าของภาษานั้นมีสิ่งที่ต้องคำนึงดังนี้
ประการที่หนึ่ง คือ
ภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่ไม่มี tone ซ้ำกัน ความหมายกล่าวได้คือ
คำเดียวของภาษาอังกฤษสามารถขึ้นเสียงสูงเสียงต่ำได้
โดยไร้ขีดจำกัดไม่มีผลต่อความหมาย แต่ในภาษาไทยนั้นจะเป็น Tonal Language คือมีวรรณยุกต์กำกับเสียงขึ้นสูงมากก็เกินเสียงในกฎ
ทำให้ภาษาที่เปล่งเสียงออกไปไม่ชัดนั้น เกิดความหมายเปลี่ยน
ประการที่สองคือ
ภาษาอังกฤษเมื่อร้องเป็นเพลงจะไม่เหมือนภาษาที่พูด 100% กล่าวคือการออกเสียงในบางเสียงจะไม่เหมือนกัน
นักร้องฝรั่งในแต่ละคนจะมีความสามารถในการออกเสียงพยัญชนะไม่เหมือนกัน
และความแตกต่างที่กล่าวมา คืออุปสรรคทางภาษา
หลังจากที่ได้เรียนรู้จากเทคนิค
7 ประการ
สำหรับการฝึกทักษะการฟังและการพูดจากเพลงที่ฉันได้เริ่มฝึกอย่างจริงจังตาม 7
เทคนิคที่กล่าวมาข้างต้นโดยเลือกเพลงที่ชอบคือ am your สิ่งที่ฉันชอบเนื้อเพลงท่อนข้างต้นนี้เป็นอย่างมากมีเนื้อเพลงดังนี้
สิ่งนี้ฉันได้ปฏิบัติตามเทคนิคทั้ง
7 ประการจึงทำให้เกิดสิ่งที่ได้เรียนรู้ดังนี้คือเพลงถึงแม้จะเป็นเพลงช้าแต่การเชื่อมคำในเพลงนั้นก็มีความเร็วทำให้ฟังไม่ค่อยชัด
เรียนรู้คำศัพท์ในเนื้อเพลงได้หลายคำเช่น hesitate หมายความว่าลังเลบุรีรัมย์
verb และเบอร์เช็คเบอร์เช็คหมายความว่า คุณงามความดี
และเมื่อฝึกร้องไปเรื่อยเรื่อยจะทำให้รู้สึกว่าปากนั้นชินต่อการพูดภาษาอังกฤษบ้างและอีกประเด็นที่สำคัญในการฝึกฝนทักษะการพูดนั่นคือภาษาอังกฤษจะมีการเชื่อมทำเพื่อบ่งบอกถึงอารมณ์ความไพเราะของภาษา
change will open up your mind and see like me จะมีการเชื่อมคำเวลาพูดเพื่อให้เกิดความเรียบร้อยของภาษาอังกฤษ
สำหรับการเชื่อมเสียงในภาษาอังกฤษนั้นมีกฎอยู่ด้วยกัน
4 ข้อจะเป็นเคล็ดลับเล็กๆน้อยๆที่จะทำให้เราพูดเหมือนกับเจ้าของภาษาโดยมีวิธีปฏิบัติดังนี้คือการพูด
1 ครั้งคือเราหยุดเพื่อหายไปตอนไหนก็ถือว่านั่น 1 ครั้ง change i like a cat and i like a bird หยุดหายใจที่
i like cat และเชื่อมตัวที่ดีกับตัวเองเพื่อเชื่อมเสียงให้ลื่นไหลและให้ตัดที่เป็นพยัญชนะต้นออกดอกเอาตัวสะกดมากข้างหน้ามาใส่ยกเว้นเป็นคำแรกที่ต้องพูด
change i like a cat and i like a bird และท่าทีเป็นตัวสะกดจะเปลี่ยนจากท่อทหารเป็นแนวเด็กเล็กฉบับ
american เช่น i like a cat and i like a bird การเชื่อมที่กับที่นานๆภาษาอังกฤษอ่านว่าแทนแต่ในภาษาอเมริกันคือแดนและกฎข้อสุดท้ายของ
s p ถ้าทำงานอยู่ท้ายประโยคให้ออกเสียงฝึกถึงถ้าอยู่ตรงกลางประโยคให้คงเหลือแต่สืบสวนถึงตัดทิ้งไป
ดอกคำแสดอยู่ท้ายประโยคเสียงสุทธิส่วน the first dog is black อยู่กลางประโยคออกเสียงแค่สื่อ
จากการฝึกทักษะการฟังและการพูดภาษาอังกฤษด้วยเพลงเพลงที่ใช้คือเพลง
am your ซึ่งเป็นเพลงที่ฉันชอบซึ่งสามารถสรุปสิ่งที่ได้รับความรู้สึกได้ในดังนี้คือเราสามารถมีกำลังใจในการฝึกฝนทักษะเพราะว่าเราใช้เพลงและได้รับความรู้เกี่ยวกับกฎการเชื่อมเสียงซึ่งกฎของการเชื่อมเสียงนั้นมี
4 แบบและเรื่องเกี่ยวกับอุปสรรคทางภาษาที่มีความเกี่ยวข้องกับการวัฒนธรรมการพูดระหว่างภาษาไทยกับภาษาอังกฤษ
และได้รับความรู้เกี่ยวกับคำศัพท์และสำนวนใหม่ๆเพื่อที่จะได้ทราบความหมายจะได้มีคลังคำศัพท์ในสมองเยอะที่สำคัญเมื่อเราร้องเพลงภาษาอังกฤษบ่อยๆจะทำให้เราชินกับการพูดภาษาอังกฤษให้ลื่นไหลและน่าฟังมากยิ่งขึ้น
เป็นอีก1ความรู้ที่หน้าติดตามและหน้าสนใจมากๆ หนังออนไลน์
ตอบลบ