การแปลบันเทิงคดี (25/04/2559)
(The Translation of Literary Work)
การแปลงานแปลบันเทิงคดีนั้นเป็นการแปลงานเขียนทุกประเภทที่ไม่จัดให้อยู่ในงานประเภทวิชาการและสารคดี
ทั้งนี้หมายถึงงานเขียนประเภทร้อยแก้วและร้อยกรองอีกด้วย บันเทิงคดี
มีหลายรูปแบบได้แก่ นิทาน นวนิยาย เรื่องสั้น บทเพลง บทกวี
ซึ่งการแปลบันเทิงคดีเป็นงานเขียนที่แตกต่างจากงานเขียนชนิดอื่น
ดังนั้นจะต้องอาศัยองค์ประกอบหลายอย่างทั้งองค์ประกอบทางเนื้อหาและภาษาและองค์ประกอบที่ไม่ใช่ภาษาเพื่อให้งานแปลบันเทิงคดีเป็นงานแปลที่มีเนื้อหาครบถ้วนและมีภาษา
สำนวนที่สละสลวย ถ่ายทอดความรู้สึกของงานสื่อถึงผู้อ่านได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ครบถ้วนทุกรสชาติและอารมณ์
องค์ประกอบที่ไม่ใช่ภาษา (non-language element) เป็นองค์ประกอบที่มีความสำคัญต่อการแปลงานบันเทิงคดี
โดยจะเป็นองค์ประกอบที่เน้นไปในเรื่องของอารมณ์และท้วงทำนองของงาน
องค์ประกอบทางด้านอารมณ์และท่วงทำนองจะสะท้อนออกในองค์ประกอบของภาษา
ดังนั้นองค์ประกอบด้านภาษาจึงเป็นประเด็นที่ผู้แลจะต้องให้ความใส่ใจอย่างยิ่งในการแปลงานบันเทิงคดี
และจะต้องคำนึงถึงการทอดถอดความรู้สึกให้สอดคล้องกับองค์ประกอบที่ด้านเนื้อหาและภาษาเพื่อที่จะทำให้งานแปลบันเทิงคดีนั้นมีคุณภาพและมีความหมายพร้อมทั้งความรู้สึกที่ถ่ายทอดออกมาตรงกับต้นฉบับของงานแปลบันเทิงคดีอีกด้วย
องค์ประกอบทางด้านเนื้อหาและภาษา
องค์ประกอบด้านนี้นั้นจะมีความเกี่ยวข้องกับการแลงานบันเทิงคดีซึ่งแบ่งแยกออกเป็น
สามกลุ่ม ซึ่งได้แก่ การใช้สรรพนามและคำเรียกบุคคล (Form of address) การใช้ความหมายแฝง (connotation)
และภาษาเฉพาะวรรณกรรม (Figurative language) เรากำลังศึกษาและฝึกหัดแปลต้นฉบับไทยเป็นฉบับภาษาอังกฤษ
ซึ่งมีคำที่ใช้เรียกบุคคลนั้นไม่ค่อยหลากหลายและยุ่งยากเหมือนภาษาไทย
ดังนั้นต่อไปนี้จะกล่าวถึงรายละเอียดของการใช้ภาษาที่มีความหมายแฝงและภาษาเฉพาะวรรณกรรมเท่านั้น
โดยจะไม่กล่าวถึงการใช้คำเรียกบุคคล
ภาษาที่มีความหมายแฝง (Connotation) คำศัพท์ในภาษาใดๆประกอบด้วยคำที่มีความหมายตรงตัวและความแฝง
เช่น คำศัพท์คำว่า chicken ความหมายตรงตัว ไก่ ความหมายแฝง ขี้ขลาดตาขาว ในการแปลงานบันเทิงคดี
ผู้แปลจะต้องให้ความใส่ใจต่อคำศัพท์ทุกตัว
จะต้องพิจารณาหาความหมายอย่างละเอียดเพื่อให้ได้ความหมายที่ถูกต้องตามบริบท
เพื่อป้องกันความผิดพลาดนั้น
ผู้แปลควรอ่านต้นฉบับจำนวนหนึ่งครั้งโดยอ่านอย่างเข้าใจเนื้อหา
ถ้าหากไม่เข้าใจความหมายคำแฝงหรือสำนวนไหน ให้เขียนเส้นใต้หรือทำเครื่องหมายเอาไว้
แล้วค่อยหาความหมายหลังจากอ่านเสร็จทั้งเรื่อง
นอกจากนี้นั้นผู้แปลควรจะใช้ทั้งพจนานุกรมสองภาษาและภาษาเดียว
รวมทั้งค้นคว้าหาความหมายจากแหล่งข้อมูลอื่นด้วย
เพื่อให้ได้ความหมายที่ชัดเจนตรงตามบริบท
ภาษาเฉพาะวรรณกรรมหรือโวหารภาพพจน์
ภาษากลุ่มนี้จะเป็นกลุ่มภาษาที่มีลักษณะเด่นประการหนึ่งคือ
การสะท้อนวัฒนธรรมด้านต่างๆลงไปในตัวภาษา ได้แก่ วัฒนธรรมการกินอยู่ แต่งกาย
การงาน อาชีพ ความเชื่อ ศาสนา เศรษฐกิจ การเมือง สภาพดินฟ้าอากาศ กล่าวได้ว่า
ภาษากลุ่มนี้มีความสัมพันธ์กับทุกแง่มุมของวัฒนธรรมของมนุษยชาติโดยผ่านกระบวนการถ่ายทอดทางภาษา
จะสะท้อนความเป็นเอกลักษณ์ของแต่ละภาษา
ซึ่งผู้แปลจะต้องศึกษาวัฒนธรรมของภาษาที่จะเปลอย่างลึกซึ้ง
เพื่อแสดงให้เห็นความแตกต่างของภาษา โดยรูปแบบเฉพาะของภาษาที่ใช้ในบันเทิงคดีนั้น
ได้แก่ โวหารอุปมาอุปไมย (simile)
โวหารอุปลักษณ์ (metaphor)
โวหารอุปมาอุปไมย (simile) เป็นการสร้างภาพพจน์ด้วยวิธีการเปรียบเทียบเพื่อชี้แจง
มีจุดมุ่งหมายเพื่อการชี้แจงอธิบายเน้นสิ่งที่กล่าวถึงให้ชัดเจนและเห็นภาพพจน์มากขึ้น
ข้อสังเกตคือโวหารอุปมาอุปไมยมักมีคำที่ใช้เป็นลักษณะเฉพาะของภาษานั้นคือ คำว่า ดัง
ดั่ง เป็นดัง เหมือน เปรียบเสมือน เหมือนกับราวกับ เปรียบประดุจ เหมือนดั่ง เสมอ
เฉกเช่น นี่คือคำที่ใช้ในโวหารอุปมาอุปไมยในภาษาไทย ส่วนภาษาอังกฤษ ได้แก่คำว่า Be
( is, am, are, was, were) Be like , as…..as เป็นต้น
ผู้แปลจะแปลโวหารนี้ได้ก็ต่อเมื่อวิเคราะห์ได้ว่า ประโยคนั้นเป็นการสมมุติแบบใด
หากเป็นการสมมุติที่อาจเป็นได้ ผู้แปลจะต้องใช้โครงสร้างเงื่อนไนแบบที่ 1(Conditional
sentence type I) แต่หากเป็นการเปรียบเทียบหรือสมมุติสิ่งที่ไม่สามารถเกิดขึ้นได้นั้นจะต้องใช้โครงสร้างเงื่อนไนแบบที่
2 (Conditional sentence type II)และข้อความความนั้นแสดงว่าเป็นความจริง
ผู้แปลจะต้องใช้ปัจจุบันกาล และส่วนที่เป็นการสมมุติจะต้องอยู่ในรูปของอดีต ส่วนโวหารอุปลักษณ์ (Metaphor) เป็นการเปรียบเทียบความหมายโดยนำความเหมือนกับไม่เหมือนมาเปรียบเทียบ
ยกตัวอย่างเช่น เงินคือพระเจ้า เขาอยู่อยู่บนเส้นด้าย
หลักการแปลโวหารอุปมาอุปไมย (simile) และโวหารอุปลักษณ์ (Metaphor) ผู้แปลจะต้องคำนึงถึงโครงสร้างไวยากรณ์และความแตกต่างของวัฒนธรรมทางภาษา
โดยจะมีข้อปฏิบัติทีควรคำนึงดังนี้ a. เมื่อรูปแบบของภาษาสอดคล้องกันและมีความหมายตรงกันระหว่างสองภาษานั้นสามารถแปลตรงตัวอักษรได้เลย
เช่น ออกดอกออกผล = bear fruit b. เมื่อโวหารนั้นไม่มีความสำคัญต่อเนื้อหาผู้แปลสามารถตัดทิ้งได้เลย
c.เมื่องานเขียนเป็น
กวีนิพนธ์นั้นผู้แปลจะต้องทำหมายเหตุหรืออธิบายความหมายของอุปมาอุปไมยหรืออุปลักษณ์ไว้ในเชิงอรรถ
d.สืบค้นโวหารอุปมาอุปไมยและอุปลักษณ์ที่ปรากฏในงานเขียนชนิดต่างๆในภาษแปล
หรือสืบค้นจากเอกสารอ้างอิงจำพวกพจนานุกรมเฉพาะ เช่น Dictionary of Idioms หรือ Expression หนังสือรวบรวมสุภาษิต คำพังเพย คำคม ดังนั้นเมื่อรู้ความหมายแล้ว
ผู้แปลสามารถตัดสินใจได้ว่าควรตัดทิ้งหรือควรแปลเพื่อให้ไดอรรถรสของต้นฉบับ
เป็นอีก1ความรู้ที่หน้าติดตามและหน้าสนใจมากๆ หนังออนไลน์
ตอบลบ